วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

อิเหนา



อิเหนาเป็น วรรณคดีเก่าแก่เรื่องหนึ่งของไทย เป็นที่รู้จักกันมานาน เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยได้ผ่านมาจากหญิงเชลยปัตตานี ที่เป็นข้าหลวงรับใช้พระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ครองราชย์ พ.ศ. 2275 – 2301) โดยเล่าถวายเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ พระราชธิดา จากนั้นพระราชธิดาทั้งสองได้ทรงแต่งเรื่องขึ้นมาองค์ละเรื่อง เรียกว่าอิเหนาเล็ก (อิเหนา) และอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง)
ประวัติดังกล่าวมีบันทึกไว้ในพระราชนิพนธ์อิเหนา ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ดังนี้
อันอิเหนาเอามาทำเป็นคำร้อง      สำหรับงานการฉลองกองกุศล
ครั้งกรุงเก่าเจ้าสตรีเธอนิพนธ์แต่เรื่องต้นตกหายพลัดพรายไปฯ
นอกจากนี้ ยังมีบรรยายไว้ในปุณโณวาทคำฉันท์ ของพระมหานาค วัดท่าทราย ระบุถึงการนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเช่นกัน โดยเล่าว่ามีงานมหรสพที่เล่นเรื่องอิเหนา ดังนี้
ร้องเรื่องระเด่นโดย      บุษบาตุนาหงัน
พักพาคูหาบรรณ-พตร่วมฤดีโลม ฯ
เนื้อเรื่องตรงกับอิเหนาเล็ก ที่ว่าถึงตอนลักบุษบาไปไว้ในถ้ำ ซึ่งไม่ปรากฏในเรื่องอิเหนาใหญ่
เรื่องอิเหนา หรือที่เรียกกันว่านิทานปันหยีนั้น เป็นนิทานที่เล่าแพร่หลายกันมากในชวา เชื่อกันว่าเป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ของชวา ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ปรุงแต่งมาจากพงศาวดารชวา และมีด้วยกันหลายสำนวน พงศาวดารเรียกอิเหนาว่า “อิเหนา ปันหยี กรัต ปาตี” (Panji Inu Kartapati) แต่ในหมู่ชาวชวามักเรียกกันสั้นๆ ว่า “ปันหยี” (Panji) ส่วนเรื่องอิเหนาที่เป็นนิทานนั้น น่าจะแต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 หรือในยุคเสื่อมของราชวงศ์อิเหนาแห่งอาณาจักรมัชปาหิต และอิสลามเริ่มเข้ามาครอบครอง
นิทานปันหยีของชวานั้น มีด้วยกันหลายฉบับ แต่ฉบับที่ตรงกับอิเหนาของเรานั้น คือ ฉบับมาลัต ใช้ภาษากวีของชวาโบราณ มาจากเกาะบาหลี

ตอนในเรื่องอิเหนา

ตามสมุดภาพ มี ๒๐ ตอน

๑.อิเหนาพบจินตะหราวาตี
๒.อิเหนารบกับท้าวบุศสิหนา
๓.อิเหนาได้นางมาหยารัศมีและนางสการะวาตี
๔.ช่างเขียนลอบวาดรูปบุษบา
๕.วิหยาสะกำสลบบนหลังม้า
๖.ท้าวกะหมังกุหนิงเคลื่อนทัพ
๗.อิเหนาจากจินตะหรา
๘.อิเหนายกทัพจากหมันยา
๙.อิเหนารบท้าวกระหมังกุหนิง
๑๐.อิเหนาพบบุษบา
๑๑.อิเหนาไม่ยอมกลับเมือง
๑๒.อิเหนาทำเหตุ ในวิหารพระปฏิมา
๑๓.อิเหนาแต่งถ้ำ
๑๔.อิเหนาเผาเมือง
๑๕.อิเหนาได้บุษบา
๑๖.อิเหนาแก้สงสัย
๑๗.ลมหอบ
๑๘.อิเหนา มะงุมมะหงาหรา เข้ามะละกา
๑๙.อิเหนาบวช
๒๐.อิเหนาพบบุษบา


กลอนบทละคร

มีลักษณะดังนี้
๑.กลอนแต่ละวรรค มีจำนวนคำระหว่าง ๗ – ๘ คำ
๒. การสัมผัสในจะมีทั้งสัมผัสพยัญชนะและสัมผัสสระเป็นคู่ ๆ ในแต่ละวรรค ทำให้เกิดเสียงเสนาะขึ้น เช่น

ว่าพลางโอบอุ้มอรทัย      ขึ้นไว้เหนือตักสะพักชม
เอนองค์ลงแอบแนบน้องเชยปรางพลางประคองสองสม
คลึงเคล้าเย้ายวนสำรวลรมย์      เกลียวกลมสมสวาทไม่คลาดคลาย
กรกอดประทับแล้วรับขวัญอย่าตระหนกอกสั่นนะโฉมฉาย
ฤดีดาลซ่านจับเนตรพราย      ดังสายสุนีวาบปลาบตา


อิเหนาในภาษาไทย

นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย นักปราชญ์ราชบัณฑิตของไทยก็ได้แต่งเรื่องอิเหนาขึ้นมาหลายสำนวนด้วยกัน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก และน่าแปลกใจที่พบว่ามีอิเหนาในภาษาไทยกว่าสิบสำนวน ดังนี้
  1. บทละครเรื่องอิเหนาครั้งกรุงเก่า. สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้มาจากเมืองนครศรีธรรมราช มีอยู่ตอนเดียว เข้าใจว่าเป็นสำนวนครั้งกรุงเก่า
  2. อิเหนาคำฉันท์. งานนิพนธ์ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งในสมัยธนบุรี จับตอนอิเหนาลักบุษบาไปซ่อนไว้ในถ้ำ
  3. บทละครเรื่องอิเหนา. พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
  4. บทละครเรื่องดาหลัง. พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
  5. บทละครเรื่องอิเหนา. พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
  6. บทมโหรีเรื่องอิเหนา. ของเจ้าพระยาวงศาสุรศักดิ์ (แสง) ในรัชกาลที่ 2
  7. นิราศอิเหนา. ของสุนทรภู่ ตอนลมหอบ
  8. บทสักวาเรื่องอิเหนา. แต่งในสมัยรัชกาลที่ 3
  9. อิเหนา. พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนอุณากรรณ
  10. อิเหนาคำฉันท์ พระนิพนธ์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ในรัชกาลที่ 4 ตอนเข้าห้องจินตะหรา
  11. บทเจรจาละครเรื่องอิเหนา. พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ รวม 68 บท
  12. บทละครพูดเรื่องอิเหนา. พระนิพนธ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ตอนศึกกระหมังกุหนิง
  13. บทละครดึกดำบรรพ์เรื่องอิเหนา. พระนิพนธ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ตอนใช้บน
  14. บทสักวาเรื่องอิเหนา เล่นถวายในรัชกาลที่ 5 ตอนเสี่ยงเทียน ตอนชนไก่ และตอนสึกชี
  15. หิกะยัต ปันหยี สมิรัง. พระนิพนธ์แปล ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงแปลจากต้นฉบับภาษามลายู
  16. อิเหนาฉบับอารีนครา. แปลจากอิเหนาชวา ผู้แต่งชื่ออารีนครา ขุนนิกรการประกิจ เป็นผู้แปล
  17. ปันหยี สะมิหรัง คำกลอน. น.อ.หลวงสำรวจวิถีสมุทร ประพันธ์จากเรื่อง หิกะยัต ปันหยี สมิรัง
  18. เล่าเรื่องอิเหนา รศ. วิเชียร เกษประทุม
อย่างไรก็ตาม เรื่องอิเหนาเป็นที่นิยมกันมากกว่าเรื่องดาหลัง เนื่องจากเรื่องดาหลังมีเนื้อเรื่องที่ซ้ำซ้อน และสับสนมากทีเดียว แต่แม้จะเป็นเรื่องจากชวา การบรรยายบ้านเมืองและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ล้วนเป็นฉากของไทยทั้งสิ้น และนับว่าน่ายินดี ที่มีการนำอิเหนาฉบับของชวามาแปลให้ชาวไทยได้รู้จักและเปรียบเทียบกับอิเหนาฉบับดั้งเดิมของไทย
นิทานปันหยี หรือเรื่องอิเหนานับเป็นวรรณคดีต่างประเทศอีกเรื่องหนึ่งที่มีคำศัพท์ชวาจำนวนไม่น้อย เช่น บุหงา บุหลัน บุหรง ลางิต ตุนาหงัน มะงุมมะงาหรา ฯลฯ


คุณค่าในวรรณคดี

๑. คุณค่าในด้านเนื้อเรื่อง บทละครเรื่องอิเหนา มีโครงเรื่องและเนื้อเรื่องที่สนุก โครงเรื่องสำคัญเป็นเรื่องการชิงบุษบาระหว่างอิเหนากับจรกา เรื่องความรักระหว่างอิเหนากับบุษบา เนื้อเรื่องสำคัญก็คือ อิเหนาไปหลงรักจินตะหรา ทั้งที่มีคู่หมั้นอยู่แล้วซึ่งก็คือบุษบา ทำให้เกิดปมปัญหาต่างๆ
๒. คุณค่าในด้านวรรณศิลป์
๒.๑ ความเหมาะสมของเนื้อเรื่องและรูปแบบ บทละครอิเหนาเป็นบทละครใน มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์ กลวิธีการดำเนินเรื่องจึงยึดรูปแบบอย่างเคร่งครัด อากัปกิริยาของตัวละครต้องมีสง่า มีลีลางดงามตามแบบแผนของละครใน โดยเฉพาะการแสดงศิลปะการร่ายรำจะต้องมีความงดงาม ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับตัวละคร จะใช้ถ้อยคำไพเราะ แสดงออกถึงอารมณ์ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นความอาลัยอาวรณ์ ความโกรธ ความรัก การประชดประชัน กระบวนกลอนตลอดจนเพลงขับร้องและเพลงหน้าพาทย์มีความไพเราะอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นบทละครในที่เพียบพร้อมด้วยรูปแบบของการละครอย่างครบถ้วน
๒.๒ การบรรยายและการพรรณนามีความละเอียดชัดเจน ทำให้เกิดจินตภาพ ไม่ว่าจะเป็นฉาก เหตุการณ์ สภาพบ้านเมือง ภูมิประเทศ รวมทั้งอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร ผู้อ่านเกิดความรู้สึกและความเกิดความเข้าใจในบทละครเป็นอย่างดี เนื่องจากการใช้โวหารเรียบเรียงอย่างประณีต เรียบง่าย และชัดเจน
๒.๓ การเลือกใช้ถ้อยคำดีเด่นและไพเราะกินใจ การใช้ถ้อยคำง่าย แสดงความหมายลึกซึ้ง กระบวนกลอนมีความไพเราะ เข้ากับบทบาทของตัวละคร โดยใช้กลวิธีต่างๆ ในการแต่ง
๒.๔ การใช้ถ้อยคำให้เกิดเสียงเสนาะ คำสัมผัสในบทกลอนทำให้เกิดเสียงเสนาะ มีทั้งสัมผัสสระและสัมผัสอักษร ทำให้กลอนเกิดความไพเราะ
๓. คุณค่าในด้านความรู้
๓.๑ สังคมและวัฒนธรรมไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงสร้างฉากและบรรยากาศในเรื่องให้เป็นสังคม วัฒนธรรม และบ้านเมืองของคนไทย แม้ว่าบทละครเรื่องอิเหนาจะได้เค้าเรื่องเดิมมาจากชวา ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีไทยในพระราชสำนักและของชาวบ้านหลายประการ
๔. คุณค่าทางด้านการละครและศิลปกรรม
๔.๑ การละคร บทละครเรื่องอิเหนาเป็นยอดของละครรำ เพราะใช้คำประณีต ไพเราะ เครื่องแต่งตัวละครงดงาม ท่ารำงาม บทเพลงขับร้องและเพลงหน้าพาทย์กลมกลืนกับเนื้อเรื่องและท่ารำ จึงนับว่าดีเด่นในศิลปะการแสดงละคร
๔.๒ การขับร้องและดนตรี วงดนตรีไทยนิยมนำกลอนจากวรรณคดีเรื่องอิเหนาไปขับร้องกันมาก เช่น ตอนบุษบาเสี่ยงเทียน และตอนประสันตาต่อนก เป็นต้น
๔.๓ การช่างของไทย ผู้อ่านจะได้เห็นศิลปะการแกะสลักลวดลายการปิดทองล่องชาด และลวดลายกระหนกที่งดงามอันเป็นความงามของศิลปะไทย ซึ่งจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ


ข้อคิด

๑. การเอาแต่ใจตนเอง อยากได้อะไรเป็นต้องได้ จากในวรรณคดีเรื่องอิเหนานั้น เราได้ข้อคิดเกี่ยวกับการเอาแต่ใจตนเอง อยากได้อะไรเป็นต้องได้ ไม่รู้จักระงับความอยากของตน หรือพอใจในสิ่งที่ตนมีแล้ว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา และคนอื่นๆ ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ดังเช่นในตอนที่อิเหนาได้เห็นนางบุษบาแล้วเกิดหลงรัก อยากได้มาเป็นมเหสีของตน กระนั้นแล้ว อิเหนาจึงหาอุบายแย่งชิงนางบุษบา แม้ว่านางจะถูกยกให้จรกาแล้วก็ตาม โดยที่อิเหนาได้ปลอมเป็นจรกาไปลักพาตัวบุษบา แล้วพาไปยังถ้ำทองที่ตนได้เตรียมไว้ ซึ่งการกระทำของอิเหนานั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว พิธีที่เตรียมไว้ก็ต้องล่มเพราะบุษบาหายไป อีกทั้งเมืองยังถูกเผา เกิดความเสียหายเพียงเพราะความเอาแต่ใจอยากได้บุษบาของอิเหนานั่นเอง
๒. การใช้อารมณ์ ในชีวิตของมนุษย์ทุกคนนั้น ย่อมต้องประสบพบกับเรื่องที่ทำให้เราโมโห หรือทำให้อารมณ์ไม่ดี ซึ่งเมื่อเป็นดังนั้น เราควรจะต้องรู้จักควบคุมตนเอง เพราะเมื่อเวลาเราโมโห เราจะขาดสติยั้งคิด เราอาจทำอะไรตามใจตัวเองซึ่งอาจผิดพลาด และพลอยทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง และเมื่อเรามีสติแล้วจึงจะมาคิดหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป ซึ่งภายในเรื่องอิเหนาเราจะเห็นได้จากการที่ท้าวดาหาได้ประกาศยกบุษบาให้ใครก็ตามที่มาสู่ขอ โดยจะยกให้ทันที เพราะว่าทรงกริ้วอิเหนาที่ไม่ยอมกลับมาแต่งงานกลับบุษบาตามที่ได้หมั้นหมายกันไว้ การกระทำของท้าวดาหานี้ได้ก่อให้เกิดปัญหาและความวุ่นวายหลายอย่างตามมา และท้าวดาหานั้นยังกระทำเช่นนี้โดยมิได้สนใจว่าบุตรสาวของตนจะรู้สึกเช่นไร หรือจะได้รับความสุขหรือความทุกข์หรือไม่
๓. การใช้กำลังในการแก้ปัญหา โดยปกติแล้ว เวลาที่เรามีปัญหาเราควรจะใช้เหตุผลในการแก้การปัญหานั้น ซึ่งถ้าเราใช้กำลังในการแก้ปัญหา นั้นเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมา และอาจเป็นการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนไปด้วย ตัวอย่างเช่น ท้าวกะหมังกุหนิงที่ได้ส่งสารมาสู่ขอบุษบาให้กับวิหยาสะกำบุตรของตน เมื่อทราบเรื่องจากท้าวดาหาว่าได้ยกบุษบาให้กับจรกาไปแล้ว ก็ยกทัพจะมาตีเมืองดาหาเพื่อแย่งชิงบุษบา ซึ่งการกระทำที่ใช้กำลังเข้าแก้ปัญหานี้ก็ให้เกิดผลเสียหลายประการ ทั้งทหารที่ต้องมาต่อสู้แล้วพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก สูญเสียบุตรชาย และในท้ายที่สุดตนก็มาเสียชีวิต เพียงเพราะต้องการบุษบามาให้บุตรของตน
๔. การไม่รู้จักประมาณตนเอง เราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีในสิ่งที่แตกต่างกัน เกิดมาในสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน เราก็ควรรู้จักประมาณตนเองบ้าง ใช้ชีวิตไปกับสิ่งที่คู่ควรกับตนเอง พอใจในสิ่งที่ตนมี เราควรเอาใจเขามาใส่ใจเรา คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นด้วย ถ้าเรารู้จักประมาณตนเองก็จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักประมาณตนเอง ก็อาจทำให้เราไม่มีความสุข เพราะไม่เคยสมหวังในชีวิต เช่นกับ จรกาที่เกิดมารูปชั่ว ตัวดำ อัปลักษณ์ หน้าตาน่าเกลียด จรกานั้นไม่รู้จักประมาณตนเอง ใฝ่สูง อยากได้คู่ครองที่สวยโสภา ซึ่งก็คือบุษบา เมื่อจรกามาขอบุษบา ก็ไม่ได้มีใครที่เห็นดีด้วยเลย ในท้ายที่สุด จรกาก็ต้องผิดหวัง เพราะอิเหนาเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับบุษบาไม่ใช่จรกา
๕. การทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด หรือคำนึงถึงผลที่จะตามมา การจะทำอะไรลงไป เราควรจะคิดทบทวนหรือ ชั่งใจเสียก่อนว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ทำแล้วเกิดผลอะไรบ้าง แล้วผลที่เกิดขึ้นนั้นก่อความเดือดร้อนให้ผู้อื่นหรือไม่ เกิดอย่างไรบ้าง เมื่อเรารู้จักคิดทบทวนก่อนจะกระทำอะไรนั้น จะทำให้เราสามารถลดการเกิดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น หรือสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที ถ้าเราทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด ก็มีแต่จะเกิดปัญหาตามมามากมาย เราจะเห็นตัวอย่างได้จากเรื่องอิเหนาในตอนที่อิเหนาได้ไปร่วมพิธีศพของพระอัยกีแทนพระมารดาที่เมืองหมันหยา หลังจากที่อิเหนาได้พบกับจินตะหราวาตี ก็หลงรักมากจนเป็นทุกข์ ไม่ยอมกลับบ้านเมืองของตน ไม่สนใจพระบิดาและพระมารดา ไม่สนใจว่าตนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งมิได้คำนึงถึงผลที่จะตามมาจากปัญหาที่ตนได้ก่อขึ้น จากการกระทำของอิเหนาในครั้งนี้ก็ได้ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา



อิเหนา-เล่าโดยครูลิลลี่ ตอนที่ 1




อิเหนา-เล่าโดยครูลิลลี่ ตอนที่ 2



ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

มโนห์รา หรือ พระสุธนคำฉันท์









วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นที่นิยมกันมาก ในสมัยอยุธยาและไม่ทราบผู้แต่ง ได้แก่ เรื่องพระสุธน ซึ่งได้นำเค้าเรื่องเดิมมาจาก ปัญญาสชาดก ที่เรียกว่า "สุธนชาดก" และได้นำมาทำเป็นบทละคร เรื่องนางมโนห์รา ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

เนื้อเรื่องโดยย่อ  

มโนห์รา หรือ พระสุธนคำฉันท์ 

ในกาลปางก่อน พระเจ้าอาทิตยวงศ์เป็นกษัตริย์ครองเมืองปัญจาลนคร พระมเหสีชื่อพระนางจันทราเทวี ต่อมาพระมเหสึมีพระโอรสซึ่งเมื่อประสูติ ก็บังเกิดขุมทองสี่ขุมขึ้น ที่มุมปราสาทสี่มุม พระเจ้าอาทิตยวงศ์จึงประทานนามให้ว่า "พระสุธน"(แปลว่ามีทรัพย์ประเสริฐ-มีทรัพย์มาก) บ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก พระสุธน ราชกุมารก็ศึกษาวิชาการมีฝีมือทางการยิงธนู 

วันหนึ่งนายพรานบุณฑริกชาวเมืองปัญจาลนคร เข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึกพบกลุ่มนางกินนรีพี่น้องเจ็ดตนมาเล่นน้ำที่สระ นายพรานเห็นนางกินนรีงดงาม คิดจะจับนางไปถวายพระสุธน จึงแอบเข้าไปใกล้ ๆ เห็นกองปีกหางของนางกินนรีจึงหยิบไว้ชุดหนึ่งส่วนนางกินนรีทั้งเจ็ด เมื่อเล่นน้ำเสร็จก็กลับขึ้นมาใส่ปีกใส่หาง นางมโนห์ราน้องสาวคนสุดท้องหาปีกหาหางของตนไม่พบ ก็ไม่าสมารถบินกลับ พี่ ๆ ทั้งหกก็จำต้องทิ้งนางไป พรานบุณฑริกจึงนำบ่วงมาคล้องนางไป และนำไปถวายพระสุธน พระสุธนยินดีมากจึงประทานทองคำและแก้วแหวนเงินทองให้แก่นายพราน พระเจ้าอาทิตยวงศ์และนางจันทราเทวี ก็จัดงานอภิเษกสมรส พระสุธนกับนางมโนห์รา

ต่อมามีข้าศึกยกมาตีเมืองปลายเขตแดน พระสุธนจึงต้องยกทัพไปปราบ พราหมณ์ปุโรหิตผู้หนึ่งซึ่งเคยคุ่นเคืองใจ กับพระสุธน ก็แกล้งเท็จทูลพระเจ้าอาทิตยวงศ์ว่านางมโนห์ราเป็นกาลกิณี ควรจะจัดบูชายัญ เพื่อให้บ้านเมืองเป็นสุขพระเจ้าอาทิตยวงศ์ไม่เต็มพระทัย เพราะทรงทราบดีว่านางมโนห์ราเป็นที่รักอย่างยิ่งของพระสุธน แต่ขัดความเห็นของเสนาอำมาตย์ไม่ได้ จึงยอมพระทัยจัดพิธีบูชายัญ นางมโนห์ราเมื่อทราบก็ยินยอมให้ฆ่าบูชายัญ แต่ขอปีกขอหางมาประดับเพื่อร่ายรำบูชา พระนางจันทราเทวีก็รีบนำปีกและหางของนางกินนรี ซึ่งพระสุธนฝากไว้มาให้นางมโนห์ราร่ายรำจนร่างกายคล่องแคล้ว แล้วนางก็บินกลับไปยังเขาไกรลาสถิ่นที่อยู่ระหว่างทางนางได้แวะมากราบพระฤาษีกัสสปในป่า และฝากผ้ากัมพลและพระธำมรงค์ไว้ให้พระสุธน ถ้าพระสุธนตามนางมาถึงพระอาศรมของฤาษี และให้ห้ามปรามพระสุธนว่าไม่ควรตามนางไปเพราะทางยากลำบากมากแต่ถ้าพระสุธนยังดื้อดึงที่จะไปก็ขอให้มอบยาผงนี้ให้แก่พระสูธนและให้บอกพระสุธนว่า เมื่อถึงป่าไม้มีพิษให้จับลูกลิงไปตัวหนึ่ง เมื่อจะเสวยผลไม้ใดต้องปล่อยให้ลูกลิงกินก่อนแล้วจึงเสวยและเมื่อถึงป่าหวายใหญ่ ให้เอาผ้ากัมพลคลุมตัวให้แน่น นกหัสดีลิงค์จะเข้าใจว่าเป็นเนื้อกวางก็จะโฉบลงมาคาบตัวไป พอถึงรังนกก็ให้ตบมือนกจะตกใจบินหนีไป พระสุธนก็จะเดินทางต่อไปพบพญาช้างสองตัวต่อสู้กันขวางทางอยู่ ให้เอายาผงทาทั่วตัว แล้วเดินลอดไประหว่างขาช้าง เมื่อเดินทางต่อไปจะพบภูเขาชนกันก็ให้ใช้ยาผงทาตัวแล้วเดินไประหว่างช่องเขา ต่อไปจะพบยักษ์สูงเจ็ดชั่วลำตาล ยืนขวางทางให้ใช้ยาผงโรยลูกศรแล้วยิงให้ถูกอกยักษ์ เมื่อยักษ์ล้มให้เดินไปทางหัวของยักษ์ ต่อไปถึงป่าทึบไม่มีทางออกให้ขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ในรังนกยักษ์ และเมื่อนกยักษ์บินออกหากินก็ให้ซ่อนตัวอยู่ในปีกของนก พอนกลงหากินก็รีบลงเพราะที่นั่นจะเป็นเขาไกรลาส









แล้วนางมโนห์ราก็กราบลาพระฤาษีบินไปยังเขาไกรลาส ท้าวทุมราชบิดาของนางถึงแม้จะยินดีที่นางกลับมาแต่เนื่องจากนางไปอยู่โลกมนุษย์เป็นเวลานานจึงให้นางอยู่ในปราสาทต่างหาก และเมื่อครบเจ็ดวันตามเวลาของเขาไกรลาส ก็จะทำพิธีมงคลชำระสระสรงนางมโนห์ราให้หมดกลิ่นสาบของมนุษย ์ ฝ่ายพระสุธนเมื่อขับไล่ข้าศึกไปได้แล้วก็รีบกลับพระนครพอรู้ว่านางมโนห์ราบินหนีไปแล้ว ก็เสียพระทัยมากรีบทูลลาพระบิดาและพระมารดาเพื่อติดตามนางมโนห์รา พระสุธนเดินทางไปพบพระฤาษีกัสสป และได้ทราบความที่นางฝากไว้พระสุธนก็มิได้ย่อท้อ ออกเดินทางและปฎิบัติตามที่นางสั่งทุกประการ พระสุธนเดินทางเช่นนี้เป็นเวลาถึงเจ็ดปี เจ็ดเดือนเจ็ดวัน พอถึงวันที่เจ็ดก็มาถึงเขาไกรลาส พระสุธนจึงซ่อนตัวอยู่ที่ใต้ต้นไม้ริมสระน้ำ ไม่ช้าก็มีนางกินนรีบริวารถือหม้อทองคำมาตักน้ำที่สระ พอถึงคนสุดท้ายพระสุธนก็บันดาลให้นางยกหม้อทองคำไม่ขึ้น พระสุธนออกมาช่วยยกให้และได้แอบใส่พระธำรงค์ลงในหม้อน้ำนั้น เมื่อนางกินรีบริวารสรงน้ำให้นางมโนห์ราถึงนางกินนรีคนสุดท้ายรดน้ำเหนือศีรษะนางมโนห์รา พระธำรงค์ก็หล่นลงมากับสายน้ำนางมโนห์รายกมือขึ้นลูบหน้าแหวนธำรงค์ก็สวมเข้าที่นิ้วก้อยพอดี นางทราบทันทีว่าพระสุธนตามมาถึงแล้วจึงสอบถามนางกินรีที่มาทีหลัง นางกินรีเล่าว่าได้พบชายหนุ่มช่วยยกหม้อน้ำให้นางมโนห์รา จึงให้นางกินนรีดูแลพระสุธนและส่งเครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับไปให้ แล้วนางมโนห์ราก็นำความทูลพระบิดาและพระมารดา 

ท้าวทุมราชจึงให้พระสุธนมาเข้าเฝ้าและให้แสดงฝีมือยิงธนู ซึ่งเป็นที่ถูกพระทัยท้าวทุมราช แต่ก็ยังมีการทดสอบอีกขั้นหนึ่ง โดยให้พระธิดาทั้งเจ็ดพระองค์แต่งกายงดงามเหมือนกันและมานั่งสลับกันอยู่ท้าวทุมราช จึงให้พระสุธนชี้นางมโนห์ราให้ถูกต้องธิดาทั้งเจ็ดองค์เหมือนกันมาก จนพระสุธนจำนางมโนห์ราไม่ได้ พระสุธนจึงตั้งสัจจาธิษฐานว่าถ้าในชาติก่อนไม่เคยคบหากับภรรยาของผู้อื่นมีจิตใจมั่นคงที่นางคนเดียวแล้ว ขอให้จำนางได้พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นแมลงวันทองบินรอบศีรษะนางมโนห์รา พระสุธนก็ชี้นางมโนห์ราได้ถูก 

ท้าวทุมราชมีความยินดีจัดงานอภิเษกพระสุธนกับนางมโนห์ราแล้วพระสุธนก็ขอลาท้าวทุมราชพานางมโนห์รากลับไปเมืองปัญจาลนครพระอาทิตยวงศ์ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จัดการตบแต่งพระนครและทำการอภิเษกพระสุธนกับนางมโนห์ราให้ครองราชสมบัติ เมืองปัญจาลนครสืบต่อไป

ที่มา  :  www.baanmaha.com

        : http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=fab21dfd1fa2ca32ae7323e6b85e2b58&topic=687.0

วิวาห์พระสมุทร











เป็นบทละครพูดสลับรำ มีทั้งบทร้องและบทเจรจา ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อ พ.ศ.2461 เนื้อเรื่องได้เค้ามาจากนิยายกรีกเก่าเชื่อว่า ถ้าหญิงงามตายในทะเลจะช่วยให้พ้นอุทกภัย

            จุดมุ่งหมาย เมื่อพระราชทานแก่คณะเสือป่า กองเสนาหลวงรักษาพระองค์ แสดงเก็บเงินบำรุงราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ณ พระราชวังสนามจันทร์

            เนื้อเรื่อง กล่าวถึงประชาชนชาวกรีก ณ เกาะ อัลฟะเบตา โง่เขลา หลงเชื่อในอำนาจทางทะเล เมื่อครบรอบ 100 ปี จะต้องส่งสาวพรหมจารีไปเป็นเจ้าสาวของพระสมุทร กษัตริย์มิดัสผู้ครองเกาะจำใจส่งราชธิดาชื่ออันโดรเมดาไปสังเวยทางทะเล  แต่อันเดรคู่รักของนางออกอุบาย ขอให้นายนาวาเอกเอดเวิดไลออนกัปตันเรืออังกฤษมาขู่ชาวเมืองให้ยกนางให้อันเดรนางจึงรอดชีวิต และได้แต่งงานกับอันเดรสมปรารถนา

            คุณค่าทางวรรณคดี เป็นบทละครสุขใจและขบขันบางตอน เป็นเรื่องรักสดชื่นจบลงด้วยคงามสุข กระบวนกลอนและฉันท์ประณีตบรรจง บทร้องเพราะทำนองดี


ตัวอย่างคำประพันธ์


(1) "ปากเป็นเอกเลขเป็นโทโบราณว่า       หนังสือตรีมีปัญญาไม่เสียหลาย
ถึงรู้มากไม่มีปากลำบากกาย                  มีอุบายพูดไม่เป็นเห็นป่วยการ
(2) ผู้ใดมีอำนาจวาสนา                        ธรรมดาหาอะไรก็หาได้"
กำหมัดคือยุติธรรมจงจำไว้                    ใครหมัดใหญ่ได้เปรียบเรียบเทียวเกลอ






ตับวิวาห์พระสมุทร เพราะๆ

อันโดรเมดาสุดาสวรรค์   ยิ่งกว่าชีวันเสน่หา
ขอเชิญสาวสวรรค์ขวัญฟ้า   เปิดวิมานมองมาให้ชื่นใจ
ถึงกลางวันสุริยันแจ่มประจักษ์   ไม่เห็นหน้านงลักษณ์ยิ่งมืดใหญ่
ถึงราตรีมีจันทร์อันอำไพ   ไม่เห็นโฉมประโลมใจก็มืดมน
อ้าดวงสุรีย์ศรีของพี่เอ๋ย   ขอเชิญเผยหน้าต่างนางอีกหน
ขอเชิญจันทร์ส่องสว่างกลางสากล   เยื่ยมมาให้พี่ยลเยือกอุราฯ 








ที่มา: http://www.banprak-nfe.com/webboard/index.php?PHPSESSID=fab21dfd1fa2ca32ae7323e6b85e2b58&topic=688.0

มัทนะพาธา ตำนานแห่งดอกกุหลาบ





มัทนะพาธาหรือตำนานแห่งดอกกุหลาบเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2424 - 2468) เป็นบทละครพูดคำฉันท์ 5 องค์ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น เมื่อพ.ศ.2466 วรรณคดีสโมสร ได้ยกย่องว่า เป็นหนังสือแต่งดี เพราะทรงพระราชดำริให้ใช้คำฉันท์เป็นละครพูดอันเป็นของแปลกในกระบวนวรรณคดีและแต่งได้โดยยาก 

มัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลงหรือความรัก
มัทนะพาธาจึงมีความหมายว่า ความเจ็บปวดและความเดือนร้อนเพราะความรัก 




เนื้อเรื่องโดยย่อ 

จอมเทพสุเทษณ์เป็นทุกข์ด้วยความลุ่มหลงเทพธิดามัทนา แม้จิตระรถผู้สารถีคู่บารมีจะนำรูปของเทพเทวีผู้เลอโ ฉมหลายต่อหลายองค์มาถวายให้เลือกชม สุเทษณ์ก็มิสนใจไยดี จิตระรถจึงนำมายาวินวิทยาธร ผู้มีเวทมนตร์แก่กล้ามาเข้าเฝ้า สุเทษณ์จึงให้มายา วินใช้เวทมนตร์เรียกนางมัทนามาหา เมื่อมาแล้วนางมัทนาก็เหม่อลอยมิมีสติสมบูรณ์เพราะตก อยู่ในฤทธิ์มนตรา 

แต่สุเทษณ์มิต้องการได้นางด้วยวิธีเยี่ยงนั้นจึงให้ม ายาวินคลายมนตร์ แต่ครั้นได้สติแล้วนางมัทนาก็ปฏิเสธว่ามิมีจิตเสน่หา ตอบด้วย ไม่ว่าสุเทษณ์จะเกี้ยวพาและรำพันรักอย่างไร สุเทษณ์โกรธนักจึงจะสาปมัทนาให้ไปเกิดในโลกมนุษย์ 

มัทนาขอให้นางได้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอม สุเทษณ์จึงสาปมัทนาให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบที่งามทั้ง กลิ่นทั้งรูปซึ่งมีแต่เฉพาะบนสวรรค์ยังไม่เคยมีบนโลก มนุษย์ โดยที่ในทุกๆ วันเพ็ญ นางมัทนาจะกลายร่างเป็นคนได้ 1 วัน 1 คืน และถ้านางมีความรักเมื่อใดนางก็จะมิต้องคืนรูปเป็นกุ หลาบอีก แต่นางจะได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรักจนมิอาจทนอ ยู่ได้ และเมื่อนั้นถ้านางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ตนจึงจะงดโทษทัณฑ์นี้ให้แก่นาง 

นางมัทนาไปจุติเป็นกุหลาบงามอยู่ในป่าหิมะวัน บรรดาศิษย์ของฤาษีนามกาละทรรศิน มาพบเข้าจึงนำความไปบอกพระอาจารย์ กาละทรรศินจึงให้ขุดไปปลูกในบริเวณอาศรมของตน 

ในขณะที่จะทำการขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง กาละทรรศินเล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติจึงได้ เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องสืบไป เมื่อนั้นการจึงสำเร็จด้วยดี 

วันเพ็ญในเดือนหนึ่ง ท้าวชัยเสนกษัตริย์แห่งหัสตินาปุระได้เสด็จออกล่าสัต ว์ในป่าหิมะวันและได้แวะมาพักที่อาศรมพระฤษี ครั้นได้เห็นนางมัทนาในโฉมของนารีผู้งดงามก็ถึงกับตะ ลึงและตกหลุมรัก จนถึงกับรับสั่งให้มหาดเล็กปลูกพลับพลาพักแรมไว้ใกล้ อาศรมนั้นทันที ท้าวชัยเสนได้แต่รำพันถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อนางม ัทนา 

ครั้นเมื่อนางมัทนาออกมาที่ลานหน้าอาศรมก็มิเห็นผู้ใ ด ด้วยเพราะท้าวชัยเสนหลบไปแฝงอยู่หลังกอไม้ นางมัทนาจึงได้พรรณาถึงความรักที่เกิดขึ้นในใจอย่างท ่วมท้นต่อท้าวชัยเสนบ้าง ท้าวชัยเสนซึ่งหลบอยู่จึงได้สดับฟังทุกถ้อยความจึงเผ ยตัวออกมา ทั้งสองจึงกล่าวถึงความรู้สึกอันล้ำลึกในใจที่ตรงกัน จนเข้าใจในรักที่มีต่อกัน จากค่ำคืนถึงยามรุ่งอรุณ 

ท้าวชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและคำสัญญารัก ณ ริมฝั่งลำธารใกล้อาศรมนั้น มัทนาก็ยังคงรูปเป็นนารีผู้งดงาม มิต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก 

ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนา พระฤาษีก็ยกให้โดยให้จัดพิธีบูชาทวยเทพและพิธีวิวาห์ มงคลในป่านั้นเสียก่อน 

ท้าวชัยเสนเสด็จกลับวังหลายเพลาแล้วแต่ก็มิได้เสด็จไ ปยังพระตำหนักข้างใน ด้วยว่ายังทรงประทับอยู่แต่ในอุทยาน พระนางจัณฑีซึ่งเป็นมเหสีให้นางกำนัลมาสืบดูจนรู้ว่า พระสวามีนำสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนกำลังอยู่กับนางมัทนาพอดี เมื่อพระนางจัณฑีเจรจาค่อนขอดดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา พระนางจัณฑีแค้นใจนักให้คนไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ ้าแห่งมคธนครให้ยกทัพมาทำศึกกับท้าวชัยเสน จากนั้นก็คบคิดกับนางค่อมอราลีและให้วิทูรพราหมณ์ หมอเสน่ห์ทำอุบายกลั่นแกล้งนางมัทนาโดยส่งหนังสือไปท ูลท้าวชัยเสนว่านางมัทนาป่วย 

ครั้นเมื่อท้าวชัยเสนรีบเสด็จกลับมาเยี่ยมนางมัทนา ก็กลับพบหมอพราหมณ์กำลังทำพิธีอยู่ใกล้ๆ ต้นกุหลาบ วิทูรกับนางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลใส่ความว่ านางมัทนาให้ทำเสน่ห์เพื่อให้ได้ร่วมชื่นชูสมสู่กับศ ุภางค์ ทหารเอกท้าวชัยเสน พระองค์ทรงกริ้วหนัก รับสั่งให้ศุภางค์ประหารนางมัทนาแต่ศุภางค์ไม่ยอม ท้าวชัยเสนจึงสั่งประหารทั้งคู่ 

พระนางจัณฑีได้โอกาสรีบเข้ามาทูลว่าตนจะอาสาออกไปห้า มศึกพระบิดาซึ่งคงเข้าใจผิดว่านางกับท้าวชัยเสนนั้นบ าดหมางกัน แต่ท้าวชัยเสนตรัสว่าทรงรู้ทันอุบายของนางที่คิดก่อศ ึกแล้วจะห้ามศึกเอง พระองค์จะขอออกทำศึกอีกคราแล้วตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อต าเอามาให้นางผู้ขบถต่อสวามีตนเอง

ขณะตั้งค่ายรบอยู่ที่นอกเมือง วิทูรพรหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้าท้าวชัยเสนเพื่อสารภา พความทั้งปวงว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้ายซึ่ง ในที่สุดแล้วตนสำนึกผิด และละอายต่อบาปที่เป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโ ทษประหาร ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้วคั่งแค้นจนดำริจะแทงตนเอง ให้ตาย แต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้ทันและสารภาพว่าในค ืนเกิดเหตุนั้นตนละเมิดคำสั่งมิได้ประหารศุภางค์และน างมัทนา หากแต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป ซึ่งนางมัทนานั้นได้โสมะทัต ศิษญ์เอกของฤษีกาละทรรศินนำพากลับสู่อาศรมเดิม แต่ศุภางค์นั้นแฝงกลับเข้าไปร่วมกับกองทัพแล้วออกต่อ สู้กับข้าศึกจนตัวตาย 

ท้าวชัยเสนจึงรับสั่งให้ประหารท้าวมคธที่ถูกจับมาเป็ นเชลยไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว ส่วนพระนางจัณฑีมเหสีนั้นทรงให้เนรเทศออกนอกพระนคร ด้วยทรงเห็นว่าอันนารีผู้มีใจมุ่งร้ายต่อผู้เป็นสามี ก็คงต้องแพ้ภัยตนเอง มิอาจอยู่เป็นสุขได้นานแน่ 

ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำพิธีบูชาเทพและวอนขอร้องให้สุเ ทษณ์จอมเทพช่วยนางด้วย สุเทษณ์นั้นก็ยินดีจะแก้คำสาปและรับนางเป็นมเหสีแต่น างมัทนาก็ยังคงปฏิเสธ และอ้างว่า อันนารีจะมีสองสามีได้อย่างไร สุเทษณ์เห็นว่านางมัทนายังคงปฏิเสธความรักของตนจึงกร ิ้วนักสาปส่งให้นางมัทนาเป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล มิอาจกลายร่างเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป 

เมื่อท้าวชัยเสนตามมาถึงในป่า นางปริยัมวะทาที่ตามมาปรนนิบัติดูแลนางมัทนาด้วยก็ทู ลเล่าความทั้งสิ้นให้ทรงทราบ ท้าวชัยเสนจึงร้องร่ำให้ด้วยความอาลัยรักแล้วขอให้พร ะฤาษีช่วยโดยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาให้ยินยอมก ลับเข้าไปยังเวียงวังกับตนอีกครา 

เมื่อพระฤาษีทำพิธีแล้ว ท้าวชัยเสนก็รำพันถึงความหลงผิดและความรักที่มีต่อนา งมัทนาให้ต้นกุหลาบได้รับรู้ จากนั้นจึงสามารถขุดต้นกุหลาบได้สำเร็จ ท้าวชัยเสนได้นำต้นกุหลาบขึ้นวอทองเพื่อนำกลับไปปลูก ในอุทยานและขอให้ฤาษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่ากุหลาบจ ะยังคงงดงามมิโรยรา ตราบจนกว่าตัวพระองค์เองจะสิ้นอายุขัย พระฤาษีก็อวยพรให้ดังใจ และประสิทธิประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำรงอยู่คู่โลกนี้ม ิมีสูญพันธ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่กลิ่นอันหอมหวานสามารถช่วยดั บทุกข์ในใจคนและดลบันดาลให้จิตใจเบิกบานเป็นสุขได้ 

ชาย-หญิงเมื่อมีรักก็จักใช้ดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักแท้สืบต่อไป 







คำประพันธ์อันคุ้นหูที่มาจากวรรณกรรมเรื่องนี้ 



ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน


ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด

ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้

ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง

ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง

ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย 







ขอบคุณที่มา www.thaigoodview.com

ประเภทวรรณคดีไทย

พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสร ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กำหนดประเภทของ วรรณดคีและพิจารณาหนังสือที่เป็นยอดของวรรณคดีแต่ละประเภทเอาไว้ 


        ประเภทของวรรณคดี
        พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งวรรณคดีสโมสร  ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  กำหนดประเภทของ   วรรณดคีและพิจารณาหนังสือที่เป็นยอดของวรรณคดีแต่ละประเภทไว้ คือ     กวีนิพนธ์       ละครไทย    นิทาน     ละครพูด     อธิบาย
       ถ้าอยากทราบว่าหนังสือที่เป็นยอดแห่งวรรณคดีไทยต่างๆมีเรื่องใดบ้าง
       และมีการแบ่งประเภทวรรณคดีตามเกณฑ์ต่าง ๆ อย่างไร  

ศึกษาข้อมูลได้จาก  http://www.mwk.ac.th

รวมเรื่องวรรณคดีไทย

รายชื่อวรรณคดีของไทย ซึ่งเป็นงานเขียนหรือวรรณกรรมไทยที่ยกย่องกันว่าดี มีสาระ และมีคุณค่าทางวรรณศิลป์

วรรณคดีไทยเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์ เป็นผลงานเขียนที่เกิดขึ้นก่อนสมัยรัชกาลที่ 7


กฤษณาสอนน้องคำฉันท์
กากีกลอนสุภาพ
กาพย์มหาชาติ
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน
กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์
กำสรวลโคลงดั้น (กำสรวลศรีปราชญ์)
ไกรทอง


ขุนช้างขุนแผน
ขวานฟ้าหน้าดำ


โคบุตร
โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โคลงดั้นนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย
โคลงทวาทศมาส
โคลงนิราศพระยาตรัง (นิราศถลาง)
โคลงนิราศหริภุญชัย
โคลงพยุหยาตราเพชรพวง
โคลงโลกนิติ


เงาะป่า


จันทโครพ
จินดามณี


ไชยเชษฐ์
ไชยทัต


ดาหลัง (อิเหนาใหญ่)


ไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา)
ไตรภูมิโลกวินิจฉัย


ทวาทศมาส (โคลงทวาทศมาส)
ทศรถสอนพระราม
ท้าวแสนปม


นันโทปนันทสูตรคำหลวง
นางนพมาศ (ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์)
นิราศกวางตุ้ง (นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน)
นิราศเดือน
นิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย (โคลงดั้นนิราศตามเสด็จทัพลำน้ำน้อย)
นิราศถลาง (โคลงนิราศพระยาตรัง)
นิราศทวาราวดี
นิราศนครวัด
นิราศนครสวรรค์
นิราศนรินทร์
นิราศธารทองแดง (กาพย์ห่อโคลงนิราศธารทองแดง)
นิราศธารโศก (โคลงนิราศพระบาท)
นิราศไปตรัง (เพลงยาวนมัสการพระบรมธาตุ นิราศไปตรัง)
นิราศพระแท่นดงรัง
นิราศพระบาท
นิราศพระประธม
นิราศพระยาตรัง
นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน (นิราศกวางตุ้ง)
นิราศภูเขาทอง
นิราศเมืองแกลง
นิราศเมืองเพชร
นิราศรัตนะ
นิราศรำพึง (รำพันพิลาป)
นิราศลอนดอน
นิราศวัดเจ้าฟ้า
นิราศษีดา (ราชาพิลาปคำฉันท์)
นิราศสุพรรณ
นิราศอิเหนา
นิทานทองอิน


ปุณโณวาทคำฉันท์
ปลาบู่ทอง


ปฐมสมโพธิกถา


พระไชยสุริยา
พระนลคำฉันท์
พระนลคำหลวง
พระมะเหลเถไถ
พระมาลัยคำหลวง
พระรถคำฉันท์
พระราชพิธีสิบสองเดือน
พระเวสสันดร
พระสุธนคำฉันท์
พระอภัยมณี
พาลีสอนน้อง
เพลงยาวถวายโอวาท
เพลงยาวนมัสการพระบรมธาตุ นิราศไปตรัง
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา
เพลงยาวพระยาตรัง
เพลงยาวของพระยามหานุภาพ
เพลงยาวหม่อมภิมเสน
พิกุลทอง


มณีพิชัย
มหาชาติคำกาพย์ (กาพย์มหาชาติ)
มหาชาติคำฉันท์
มหาชาติคำหลวง
มหาเวสสันดรชาดก (พระเวสสันดร)
มัทนะพาธา


ยวนพ่ายโคลงดั้น
ยอพระกลิ่น
ยุขัน


ระเด่นลันได
ราชสวัสดิ์
ราชาธิราช
ราชาพิลาปคำฉันท์
รามเกียรติ์
รำพันพิลาป


ลักษณวงศ์
ลิลิตนิทราชาคริต
ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง
ลิลิตพระลอ
ลิลิตเพชรมงกุฎ
ลิลิตยวนพ่าย (ยวนพ่ายโคลงดั้น)
ลิลิตตะเลงพ่าย
ลิลิตศรีวิชัยชาดก
ลิลิตโองการแช่งน้ำ (ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า, โองการแช่งน้ำ)


เวนิสวาณิช
วิวาหพระสมุท


ศกุนตลา
ศรีธนญชัย
ศิริวิบุลกิตติ


สมบัติอมรินทร์คำกลอน
สมุทรโฆษคำฉันท์
สรรพสิทธิ์คำฉันท์
สวัสดิรักษา
สังข์ทอง
สังข์ศิลปชัย
สามัคคีเภทคำฉันท์
สาวิตรี
สิงหไตรภพ
สุบินกุมาร
สุภาษิตพระร่วง (บัญญัติพระร่วง)
สุภาษิตสอนหญิง
สุวรรณหงส์
เสือโคคำฉันท์
สมุทรโคดม


หม่อมเป็ดสวรรค์
หลวิชัยคาวี


อนิรุทธ์คำฉันท์
อภัยนุราช
อาบูหะซัน
อิลราชคำฉันท์
อิเหนา 
อิเหนาคำฉันท์ - เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
บทละครเรื่องอิเหนา - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
บทละครเรื่องดาหลัง - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
บทละครเรื่องอิเหนา - พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
นิราศอิเหนา - สุนทรภู่
อิเหนาคำฉันท์ - กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
อุณรุทร้อยเรื่อง
โองการแช่งน้ำ



credit: http://th.wikipedia.org/wiki/รายชื่อวรรณคดีไทย